Blackjack เล่นยังไงพร้อม เทคนิคเอาชนะเกมไพ่ แบล็คแจ็ค
เทคนิคเอาชนะเกมไพ่ แบล็คแจ็ค ( Blackjack ) เป็นเกมไพ่ชนิดหนึ่ง ที่ผู้เล่นจะต้องเข้ามาทำการพนันโดย แบล็คแจ็คเทคนิคทำกำไรใช้ได้จริง และจะต้องดวลกับเจ้ามือ โดยจะอย่างไรก็ได้ หรือ ต้องรวมแต้มของไพ่ของคุณให้เท่ากับ 21 แต้ม หรือ รวมให้ใกล้เคียงที่สุดนั่นเอง และเมื่อสิ้นสุดการจั่วไพ่ ผู้เล่นคนไหนมีแต้มที่ใหญ่กว่าเจ้ามือผู้เล่นคนนั้น
ก็จะได้รับเงินเดิมพันกลับไปครอง แต่หากเสมอก็จะเจ๊ากันไปนั่นเอง และในหนึ่งโต๊ะพนัน blackjack เล่นยังไง สามารถจะเล่นกี่คนก็ได้แต่จะต้องมากกว่า 2 คนขึ้นไป และโดยปกติแล้วจะเล่นกันไม่เกิน 6 คนต่อโต๊ะ สำหรับไพ่ที่ใช้ในการเล่นนั้นก็จะใช้ไพ่การ์ดทั่วไปครับ ใช้ประมาณ 6 – 8 สำรับครับ
เมื่อถึงขั้นตอนที่คุณจะต้องทำการเริ่มเล่น ผู้เล่นทุกคนจำต้องวางไต๋ หรือ ใส่เงินเดิมพันลงไว้ตรงช่องทางด้านหน้าของตน โดยหลังที่เมื่อทุกคนวางเงินเรียบร้อยแล้วนั้น ทางดีลเลอร์ หรือ เจ้ามือ ก็จะเริ่มแจกไพ่ให้กับผู้เล่นทีละคนไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะครบคนละ 2 ใบ ซึ่งไพ่ทั้ง 2 ใบของผู้เล่น
เจ้ามือจะแจกแบบเปิดหงายไว้ทั้งหมด สำหรับในส่วนกองไพ่ของเจ้ามือนั้นจะเปิด ไว้เพียงแค่ 1 ใบ และปิดไว้ 1 ใบ ทั้งนี้เพื่อความเมามันส์ และความสนุกจากการที่ผู้เล่นจะต้องมาเดาว่า ไพ่อีกใบของเจ้ามือมีค่าเท่าไหร่นั่นเอง
หลังจากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนลุ้นไพ่ แต่หากพบกรณีที่ว่า 2 ใบแรกเปิดออกมาได้ 21 แต้มเลยนั้น ศัพท์ทางการพนันจะเรียกว่า “ Blackjack” ซึ่งก็จะเท่ากับว่า ผู้เล่นจะชนะไปเลยทันทีโดยไม่มีข้อแม้ แถมได้เงินในอัตรา 3: 2 อีกต่างหาก แต่หากเรียกไพ่แล้วผลรวมของออกมาไพ่มีค่าเกิน 21 แต้ม ผู้เล่นจะต้องทำการนับแต้มใหม่ สมมุติว่าบวกแล้วได้ 29 ตาม ไพ่ของคุณก็จะมีค่า 9 แต้มนั่นเองครับ
ในการจั่วไพ่ สามารถขอเรียกจั่วได้จนกว่าจะถึงแต้มที่พอใจ แต่ถึงอย่างไรตามกติกาแบล็คแจ็คกำหนดให้จั่วได้ไม่เกินคนละ 4 ใบครับ ซึ่งเมื่อทุกคนเรียกไพ่กันครบแล้ว คราวนี้ก็จะเป็นรอบของเจ้ามือครับ เพื่อน ๆก็รอแค่ว่า เจ้ามือได้จะคะแนนเท่าไหร่ จะจั่วไพ่มาชนะเราหรือไม่เท่านั้นเองครับ
กติกา blackjack และเทคนิคพื้นฐานสำหรับผู้เริ่มต้น
สำหรับ กติกา blackjack กติกาในการเล่นนั้น จะใช้ไพ่ทั้งหมด 6 สำรับ เริ่มจากการแจกไพ่ฝั่งละสองใบ ในฝั่งผู้เล่นก่อน ส่วนเจ้ามือจะเป็นคนสุดท้าย เมื่อเจ้ามือได้ทำการแจกไพ่ครบแล้ว ทุกท่านสามารถจั่วไพ่ได้เรื่อยๆ ไม่จำกัด โดยจั่วไปจนกว่าท่านจะได้แต้มที่พอใจ
แต่ถ้าแต้มเกิน 21 ก็จะจบเกมทันที (เพราะถ้าแต้มเกิน 21 แล้วจะถือว่าแพ้จะหมดสิทธิ์ในการจั่วไพ่ทันที ) โดยเกมไพ่แบล็คแจ็ค เป็นเกมไพ่ที่ผู้ชนะจะต้องมีแต้มไพ่เท่ากับ 21 แต้ม หรือใกล้เคียงมากที่สุด แต่ถ้าเกินกว่านั้นก็จะถือว่าแพ้ทันที
ถ้าผู้เล่นที่เคยเล่นไพ่บาคาร่ามาก่อนแล้ว จะถือว่าไม่ยากเลยแถมยังเพิ่มความน่าตื่นเต้นความสนุกมากขึ้นไปอีกด้วย ส่วนกติกาการนับแต้มของไพ่ เราจะไปดูกันในหัวข้อต่อไป
วิธีการนับแต้ม blackjack (แบล็คแจ็ค)
สำหรับการนับแต้มไพ่ แบล็คแจ็ค จะต่างจากพวกไพ่อื่น ๆ ที่ใช้แค่หลักหน่วยเป็นตัวชี้ขาด สิ่งสำคัญในการวัดว่าใครแพ้หรือชนะคือแต้มรวมของไพ่ทั้งหมดในมือ ผู้ชนะคือคนที่รวมแต้มแล้วได้ 21 แต้มหรือใกล้เคียงที่สุด ส่วนคนที่ได้แต้มน้อยกว่าหรือว่ารวมแต้มแล้วเกิน 21 แต้มก็จะเป็นผู้แพ้ทันที ว่าแล้วเรามาดูแต้มไพ่กันดีกว่าครับว่าไพ่แต่ละใบมันมีกี่แต้ม จะได้ไม่พลาดกัน
- ไพ่ A (Ace) เป็นไพ่เดียวที่มีสองค่าแล้วแต่ว่าจะไปอยู่กับไพ่ใบไหน หากไปอยู่ร่วมกับไพ่ 10, J, Q หรือ K ก็จะทำให้มีค่าเป็น 11 แต้ม และทำให้ติดแบล็คแจ็คทันที แต่ถ้าไปอยู่กับพวกไพ่หน้าแต้ม 2-9 ไม่ว่าจะดอกไหนก็มีค่าแค่ 1 แต้มเท่านั้น
- ไพ่หน้าแต้ม 2-9 เป็นกลุ่มไพ่ที่มีค่าเท่ากับหมายเลขหน้าแต้ม
- ไพ่หน้า 10 , J , Q และ K ทั้งสี่ใบนี้จะมีค่าเท่ากันคือ 10 แต้ม
คำศัพท์ที่ถูกใช้ภายในเกม blackjack
อีกหนึ่งเรื่องที่ถือว่ามีความสำคัญไม่แพ้วิธีการเล่น และกติกา คือเรื่องของคำศัพท์ที่มักจะถูกใช้ภายในเกมไพ่แบล็คแจ็คมากที่สุด ยิ่งถ้าคุณเล่นกับคาสิโนออนไลน์ด้วยแล้ว คุณยิ่งต้องรู้คำศัพท์เหล่านี้ว่ามีความหมายอย่างไร เพราะถือว่าเป็นศัพท์สากลที่ถูกใช้ภายในคาสิโนกันมาอย่างยาวนาน เมื่อคำศัพท์เหล่านี้เกิดขึ้นผู้เล่นพนันจะรู้ได้ทันทีว่ากำลังจะเกิดเหตุการณ์ใด ดังนั้นลองมาทำความรู้จักกับศัพท์ไพ่แบล็คแจ็ค ดังนี้
1. Hit
คือการจั่วไพ่เพิ่ม หากผู้เล่นกดปุ่ม Hit จะทำให้ผู้เล่นได้รับไพ่มาเพิ่มอีก 1 ใบเพื่อเพิ่มแต้มในมือของผู้เล่นให้เข้าใกล้ 21 แต้มมากขึ้นกว่าเดิม โดยในกรณีนี้ไพ่ของผู้เล่นจะต้องมีแต้มน้อยกว่า 21 แต้ม ผู้เล่นจึงจะสามารถเลือกที่จะเพิ่มไพ่ได้
ส่วนไพ่ของเจ้ามือ มีข้อจำกัดไว้ในกรณีที่ไพ่ทั้ง 2 ใบของเจ้ามือเท่ากับ 16 แต้มหรือต่ำกว่า 16 แต้ม ซึ่งเจ้ามือจำเป็นต้องจั่วไพ่ แต่หากไพ่ของเจ้ามือเท่ากับ 17 แต้ม หรือมากกว่า 17 แต้ม ก็จะไม่สามารถจั่วไพ่ได้อีกครับ
2. Stand
คือการพัก หรือการขอหยุดไพ่เพราะได้แต้มที่น่าพึงพอใจแล้ว หรือคุณได้แต้มครบ 21 แบบจั่วไพ่หลายใบคุณจึงทำการขอ Stand สำหรับความหมายของพนันไทยอาจจะหมายถึงการอยู่ หรือการพอแล้วนั่นเอง
3. Double Down
เป็นรูปแบบของการเพิ่มวงเงินเดิมพันให้มากขึ้น โดยจะเป็นการวางเดิมพันหลังจากการแจกไพ่จนครบ 2 ใบรอบวงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถ้ามั่นใจว่าไพ่มีคะแนนที่ดี สามารถชนะเจ้ามือได้ ก็จะเพิ่มวงเงินเดิมพันให้สูงขึ้นได้ โดยการเพิ่มวงเงินเดิมพันนั้นสามารถเพิ่มได้สูงถึง 2 เท่าของยอดเงินที่ลงในครั้งแรกเท่านั้น ซึ่งหลังจากกด Double Down แล้วดีลเลอร์จะแจกไพ่เพิ่มให้อีกเพียง 1 ใบเท่านั้นครับ
4. Split
คือการขอเจ้ามือแยกไพ่ออกเป็น 2 ขา ส่วนใหญ่แล้วจะเกิดจากกรณีที่ไพ่ 2 ใบแรกมีแต้มเท่ากัน แต่ถ้าคุณมีแต้มอื่นที่ไม่ใช่แต้มเท่ากันแต่ต้องการจะ Split หรือแยกให้ออกเป็น 2 ขา ก็สามารถทำได้เช่นกัน เมื่อแยกไพ่ออกแล้วจะกลายมาเป็นไพ่ 2 ชุดที่คุณสามารถเรียกไพ่ได้อย่างไม่อั้นจนกว่าจะครบ 21 แต้ม หรือได้แต้มที่ใกล้เคียงกับแต้ม 21 ทั้ง 2 ชุด ได้เช่นกัน
5. Surrender
คือการหมอบ เมื่อใดที่คุณรู้สึกว่าไพ่ในมืออาจจะแพ้ให้กับเจ้ามือ หรือเป็นไพ่ที่แต้มเกินไปกว่า 21 แล้วซึ่งไม่มีทางที่จะชนะได้ คุณสามารถทำ Surrender ได้ทันที เพื่อเป็นการทำให้คนทั้งวงรู้ว่าคุณยอมแพ้แล้วนั่นเองครับ
6. Insurance
คือรูปแบบของการประกันเงินเดิมพันไม่ให้สูญเสียไปทั้งหมด มักจะเกิดขึ้นในกรณีที่ผู้เล่นรู้สึกว่าทางฝ่ายเจ้ามือน่าจะมีโอกาสแบล็คแจ็คได้มากกว่า เพราะการเล่นแบล็คแจ็คส่วนใหญ่แล้วเจ้ามือมักจะเป็นผู้ที่ต้องเปิดไพ่ 1 ใบเพื่อลุ้นผล การเปิดไพ่นี้จะต้องเปิดให้คนทั้งโต๊ะได้เห็น
ซึ่งถ้าเปิดออกมาเป็นไพ่ที่จะทำให้ได้ลุ้นว่าอาจจะได้ 21 แต้ม ผู้เล่นสามารถทำการ Insurance หรือซื้อประกันภัยแบล็คแจ็คได้ทันที เมื่อประกันแล้วถ้าทางฝ่ายของเจ้ามือเกิดแบล็คแจ็คขึ้นมาจริง คุณจะได้เงินคืนแบบเต็มจำนวนที่ประกันไว้ แต่ถ้าเจ้ามือไม่แบล็คแจ็คคุณก็จะเสียเงินเดิมพันนั้นไปทั้งหมด
รูปแบบการวางเดิมพันไพ่ blackjack
สำหรับการวางเดิมพันของ blackjack ไพ่แบล็คแจ็คนั้น คุณสามารถเลือกที่จะทำการวางเดิมพันได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น 21+3 , Perfect Pair และ Bet Behind ผมจะมาอธิบายการเดิมพันแต่ละรูปแบบอย่างละเอียดให้คุณนั้นเข้าใจมากยิ่งขึ้น ดังนี้
1. การวางเดิมพันแบบ Perfect Pair
คือ การวางเดิมพันที่ทำให้ท่านนั้นมีโอกาสชนะเพียงแค่ใช้ไพ่ 2 ใบแรกเท่านั้น โดยที่ไพ่ 2 ใบแรกของท่านจะต้องเป็นไพ่คู่ ยกตัวอย่างเช่น ไพ่ 3-3 , ไพ่ 4-4 , ไพ่ 5-5 หรือ ไพ่ 10-10 เป็นต้น
2. การวางเดิมพันแบบ 21+3
คือการที่ไพ่ในมือของท่านนั้นมีโอกาสที่จะเกิดการตองเหมือน , สเตรทฟลัช , ตอง , สเตรท หรือฟลัช และหากคุณสามารถที่จะชนะในรูปแบบที่พูดมานี้ได้ คุณจะได้รับอัตราการจ่ายที่เยอะมาก ดังนี้
- ตองเหมือน คือการที่มีไพ่ 3 ใบเหมือนกัน และดอกไพ่ต้องเหมือนกันทั้งหมดทุกใบ ยกตัวอย่างเช่น ได้ไพ่ 2 ข้าวหลามตัด ทั้ง 3 ใบ
- สเตรทฟลัช คือการเรียงกันตามลำดับ และมีไพ่ดอกเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น 2 , 3 , 4 ข้าวหลามตัด เป็นต้น
- ตอง คือการที่มีไพ่ 3 ใบนั้นเหมือนกัน แต่สามารถมีสี และดอกที่ต่างกันได้ ยกตัวอย่างเช่น 5 โพดำ , 5 ดอกจิก และ 5 ข้าวหลามตัด ซึ่งไพ่ทั้ง 3 ใบนั้นมีสีต่างกัน และดอกต่างกันนั่นเองครับ
- สเตรท คือไพ่ในมือนั้นเรียงกันตามลำดับ แต่สามารถมีสี และดอกของไพ่แตกต่างกันได้ ยกตัวอย่างเช่น 3 โพแดง , 4 ดอกจิก , 5 โพดำ เป็นต้น
- ฟลัช คือการที่ไพ่ในมือนั้นมีดอกเดียวกันทั้งสามใบ ยกตัวอย่างเช่น 10 โพแดง , 5 โพแดง , 9 โพแดง
3. การวางเดิมพันแบบ Bet Behind
คือการเดิมพันตามผู้เล่นคนอื่น นั่นก็คือ คุณนั้นจะสามารถอ้างอิงการชนะจากไพ่ของผู้เล่นคนอื่นได้ แต่คุณสามารถกำหนดเงินเดิมพันได้เอง และไม่สามารถบอกให้ผู้เล่นนั้นจั่วไพ่เพิ่ม หรือหยุดเรียกไพ่เพิ่มได้ นั้นก็คือ หากคุณได้วางเดิมพันตามใครแล้ว คุณจะไม่มีสิทธิ์ทำอะไรเลย นอกจากการวางเดิมพันนั่นเอง